มาสเตอร์คูลผู้เชี่ยวชาญแก้ไขปัญหาอากาศร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศครบวงจร
029538800
12/16-17,20 ถ.เทศบาลสงเคราะห์
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Master Kool มาสเตอร์คูลMaster Kool มาสเตอร์คูลMaster Kool มาสเตอร์คูล
เทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ประสิทธิภาพและการใช้งานในเครื่องฟอกอากาศ

เทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ประสิทธิภาพและการใช้งานในเครื่องฟอกอากาศ

เจาะลึกหลักการทำงานของเทคโนโลยี HEPA Filter ในเครื่องฟอกอากาศ

ท่ามกลางปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาป่า การเผาขยะ ควันรถยนต์ หรือแม้กระทั่งการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม ที่ยังคงทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครื่องฟอกอากาศที่มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี HEPA Filter หรือแผ่นกรองอากาศ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) จึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่ไม่เพียงสามารถช่วยกำจัดอนุภาคขนาดเล็กในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถช่วยปกป้องสุขภาพของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ได้อย่างแท้จริง

ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ

HEPA เป็นแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูงประเภทหนึ่ง ที่ได้รับการคิดค้นและถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1940 เพื่อประโยชน์ในการช่วยกรองฝุ่นกัมมันตภาพรังสีที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอน ที่เกิดขึ้นจากโครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งเป็นโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อนที่แผ่นกรองอากาศ HEPA Filter ดังกล่าวจะถูกนำมาพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงปี ค.ศ. 1960 จนได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย

หลักการทำงานของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ

เทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ถูกออกแบบขึ้นมาพร้อมด้วยโครงสร้างของระบบกรองอากาศที่ประกอบไปด้วย 4 ชั้นหลัก ซึ่งแต่ละชั้นก็ล้วนมีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยกรองอนุภาคและสารปนเปื้อนในอากาศที่ถูกส่งผ่านเข้ามายังเครื่องฟอกอากาศ เพื่อประโยชน์ในการช่วยกำจัดอนุภาคฝุ่น สารเคมี และเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกสถานการณ์

  1. ชั้น Pre-Filter
    ชั้น Pre-Filter เป็นชั้นกรองอากาศชั้นต้นของแผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยทำให้เครื่องฟอกอากาศสามารถกรองอนุภาคขนาดใหญ่ ที่มีขนาดตั้งแต่ 3-10 ไมครอน อาทิ ละอองเกสร ฝุ่นสเปรย์ และฝุ่นขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดปริมาณสิ่งสกปรกที่จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ชั้นกรองถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ชั้น Medium Filter
    ชั้น Medium Filter เป็นตัวกรองชั้นกลางของเทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3-3 ไมครอน อาทิ ฝุ่น PM2.5 และแบคทีเรียต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดักจับและลดปริมาณอนุภาคที่จะถูกส่งผ่านไปถึง HEPA Filter นี้เอง จะสามารถช่วยลดภาระการทำงานของ HEPA และเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองที่ดีมากยิ่งขึ้นให้กับสถานที่ที่ต้องการความสะอาดสูง อาทิ โรงพยาบาล และห้องผ่าตัด
  3. ชั้น Carbon Filter
    ชั้น Carbon Filter เป็นชั้นกรองในเครื่องฟอกอากาศที่จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยดูดซับกลิ่นและสารเคมีอันตรายต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่ในอากาศ อาทิ ฟอร์มาลดีไฮด์ และสารก่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพของอากาศให้มีความสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีสารเคมีหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์
  4. ชั้น HEPA Filter
    ชั้น HEPA Filter เป็นตัวกรองขั้นสุดท้ายของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นอนุภาคที่สามารถทำการดักจับได้ยากมากที่สุดได้ถึงอย่างน้อย 99.97% ก่อนที่อากาศที่ผ่านเครื่องฟอกอากาศจะถูกปล่อยเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการ อาทิ ห้องคลีนรูม หรือพื้นที่ที่ต้องการรักษามาตรฐานความสะอาดในระดับสูงสุด

การใช้งานของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ

ในปัจจุบันนี้ แผ่นกรองอากาศ HEPA ได้ถูกนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศหลากหลายประเภท เพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการกำจัดมลพิษได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในรูปแบบของการใช้งานที่สามารถพบได้บ่อยมากที่สุด คือ การนำเอา HEPA Filter มาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กสำหรับบ้านเรือน เพื่อจุดประสงค์หลักที่สำคัญในการช่วยจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงละอองเกสร และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่ภายในอากาศ เพื่อการช่วยลดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด

การเลือกเกรด HEPA ในเครื่องฟอกอากาศให้ตอบโจทย์กับความต้องการในการใช้งาน

โดยทั่วไปแล้ว แผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มีวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนี้จะมีให้เลือกใช้งานด้วยกันหลากหลายเกรด นับตั้งแต่แผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H12 ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นที่ 99.5% โดยมีโอกาสที่อนุภาคของฝุ่นจะทะลุผ่านแผ่นกรองอากาศที่ 0.5% ไปจนถึงแผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H13 ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพ 99.95% และมีโอกาสที่อนุภาคอาจจะเกิดการทะลุผ่านได้ที่ 0.05% และแผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H14 ที่มีประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคของฝุ่นได้อย่างสูงสุดที่ 99.995% โดยมีโอกาสที่อนุภาคจะสามารถทะลุผ่านออกไปได้ที่ 0.005% เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกแผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มาพร้อมประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคของฝุ่นได้อย่างดีที่สุดมาใช้งาน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยป้องกันการเจ็บป่วยจากฝุ่นหรือเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากการเลือกใช้แผ่นกรองอากาศ HEPA Filter ในเครื่องฟอกอากาศแล้วนั้น เครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ รุ่นยังได้มีการนำเอารังสี UVC ซึ่งเป็นรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นประมาณ 100-280 นาโนเมตร มาใช้ประโยชน์เพื่อการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคอย่าง แบคทีเรีย ไวรัส ราเส้นใย และยีสต์ ให้กับเครื่องฟอกอากาศได้อย่างเต็มที่ เพื่อการช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในบ้าน (Indoor Air Quality) ร่วมกับการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว

MASTERKOOL (มาสเตอร์คูล) คือผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาอากาศร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศแบบครบวงจร ที่พร้อมนำเสนอโซลูชันเกี่ยวกับระบบบำบัดกลิ่น ระบบทำความเย็น และระบบระบายอากาศที่หลากหลาย อาทิ พัดลมอุตสาหกรรม พัดลมตั้งพื้น พัดลมโรงงาน พัดลมฟาร์ม พัดลมแขวนผนังที่มีประสิทธิภาพ ระบบบำบัดอากาศ เครื่องฟอกอากาศ พัดลมไอเย็น เครื่องทำน้ำเย็น ตู้กดน้ำเย็น รวมถึงดูแลและให้บริการระบบอีแวป (Evaporative Cooling System) ระบบทำความเย็นในโรงงานอีกด้วย เพื่อการช่วยตอบโจทย์กับทุกความต้องการในการใช้งานอย่างครอบคลุม

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและบริการของ Masterkool ได้ที่

Tel : 02-953-8800, 092-260-5140
Email : info@masterkool.co.th