เทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ประสิทธิภาพและการใช้งานในเครื่องฟอกอากาศ
เจาะลึกหลักการทำงานของเทคโนโลยี HEPA Filter ในเครื่องฟอกอากาศ
ท่ามกลางปัญหามลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่มีสาเหตุมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาป่า การเผาขยะ ควันรถยนต์ หรือแม้กระทั่งการปล่อยมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม ที่ยังคงทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เครื่องฟอกอากาศที่มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี HEPA Filter หรือแผ่นกรองอากาศ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) จึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวช่วยสำคัญที่ไม่เพียงสามารถช่วยกำจัดอนุภาคขนาดเล็กในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถช่วยปกป้องสุขภาพของผู้คนในยุคปัจจุบันนี้ได้อย่างแท้จริง
ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ
HEPA เป็นแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูงประเภทหนึ่ง ที่ได้รับการคิดค้นและถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1940 เพื่อประโยชน์ในการช่วยกรองฝุ่นกัมมันตภาพรังสีที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 ไมครอน ที่เกิดขึ้นจากโครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ซึ่งเป็นโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐอเมริกา ก่อนที่แผ่นกรองอากาศ HEPA Filter ดังกล่าวจะถูกนำมาพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้งานอย่างต่อเนื่องในช่วงปี ค.ศ. 1960 จนได้รับความนิยมในการนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย
หลักการทำงานของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ
เทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ถูกออกแบบขึ้นมาพร้อมด้วยโครงสร้างของระบบกรองอากาศที่ประกอบไปด้วย 4 ชั้นหลัก ซึ่งแต่ละชั้นก็ล้วนมีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยกรองอนุภาคและสารปนเปื้อนในอากาศที่ถูกส่งผ่านเข้ามายังเครื่องฟอกอากาศ เพื่อประโยชน์ในการช่วยกำจัดอนุภาคฝุ่น สารเคมี และเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกสถานการณ์
- ชั้น Pre-Filter
ชั้น Pre-Filter เป็นชั้นกรองอากาศชั้นต้นของแผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มีหน้าที่ที่สำคัญในการช่วยทำให้เครื่องฟอกอากาศสามารถกรองอนุภาคขนาดใหญ่ ที่มีขนาดตั้งแต่ 3-10 ไมครอน อาทิ ละอองเกสร ฝุ่นสเปรย์ และฝุ่นขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดปริมาณสิ่งสกปรกที่จะถูกส่งผ่านเข้าสู่ชั้นกรองถัดไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ชั้น Medium Filter
ชั้น Medium Filter เป็นตัวกรองชั้นกลางของเทคโนโลยีกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็ก 0.3-3 ไมครอน อาทิ ฝุ่น PM2.5 และแบคทีเรียต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดักจับและลดปริมาณอนุภาคที่จะถูกส่งผ่านไปถึง HEPA Filter นี้เอง จะสามารถช่วยลดภาระการทำงานของ HEPA และเพิ่มประสิทธิภาพในการกรองที่ดีมากยิ่งขึ้นให้กับสถานที่ที่ต้องการความสะอาดสูง อาทิ โรงพยาบาล และห้องผ่าตัด - ชั้น Carbon Filter
ชั้น Carbon Filter เป็นชั้นกรองในเครื่องฟอกอากาศที่จะมุ่งเน้นไปที่การช่วยดูดซับกลิ่นและสารเคมีอันตรายต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่ในอากาศ อาทิ ฟอร์มาลดีไฮด์ และสารก่อมะเร็งชนิดต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับปรุงคุณภาพของอากาศให้มีความสะอาดและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีสารเคมีหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ - ชั้น HEPA Filter
ชั้น HEPA Filter เป็นตัวกรองขั้นสุดท้ายของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นอนุภาคที่สามารถทำการดักจับได้ยากมากที่สุดได้ถึงอย่างน้อย 99.97% ก่อนที่อากาศที่ผ่านเครื่องฟอกอากาศจะถูกปล่อยเข้าสู่พื้นที่ที่ต้องการ อาทิ ห้องคลีนรูม หรือพื้นที่ที่ต้องการรักษามาตรฐานความสะอาดในระดับสูงสุด
การใช้งานของแผ่นกรองอากาศ HEPA ในเครื่องฟอกอากาศ
ในปัจจุบันนี้ แผ่นกรองอากาศ HEPA ได้ถูกนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศหลากหลายประเภท เพื่อประโยชน์ในการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการกำจัดมลพิษได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหนึ่งในรูปแบบของการใช้งานที่สามารถพบได้บ่อยมากที่สุด คือ การนำเอา HEPA Filter มาใช้งานร่วมกับเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กสำหรับบ้านเรือน เพื่อจุดประสงค์หลักที่สำคัญในการช่วยจัดการปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงละอองเกสร และสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ ที่กระจายตัวอยู่ภายในอากาศ เพื่อการช่วยลดปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือโรคหอบหืด
การเลือกเกรด HEPA ในเครื่องฟอกอากาศให้ตอบโจทย์กับความต้องการในการใช้งาน
โดยทั่วไปแล้ว แผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มีวางจำหน่ายอยู่ในปัจจุบันนี้จะมีให้เลือกใช้งานด้วยกันหลากหลายเกรด นับตั้งแต่แผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H12 ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นที่ 99.5% โดยมีโอกาสที่อนุภาคของฝุ่นจะทะลุผ่านแผ่นกรองอากาศที่ 0.5% ไปจนถึงแผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H13 ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพ 99.95% และมีโอกาสที่อนุภาคอาจจะเกิดการทะลุผ่านได้ที่ 0.05% และแผ่นกรองอากาศ HEPA เกรด H14 ที่มีประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคของฝุ่นได้อย่างสูงสุดที่ 99.995% โดยมีโอกาสที่อนุภาคจะสามารถทะลุผ่านออกไปได้ที่ 0.005% เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกแผ่นกรองอากาศ HEPA ที่มาพร้อมประสิทธิภาพในการดักจับอนุภาคของฝุ่นได้อย่างดีที่สุดมาใช้งาน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยป้องกันการเจ็บป่วยจากฝุ่นหรือเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากการเลือกใช้แผ่นกรองอากาศ HEPA Filter ในเครื่องฟอกอากาศแล้วนั้น เครื่องฟอกอากาศหลาย ๆ รุ่นยังได้มีการนำเอารังสี UVC ซึ่งเป็นรังสีอัลตราไวโอเลตที่มีความยาวคลื่นประมาณ 100-280 นาโนเมตร มาใช้ประโยชน์เพื่อการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคอย่าง แบคทีเรีย ไวรัส ราเส้นใย และยีสต์ ให้กับเครื่องฟอกอากาศได้อย่างเต็มที่ เพื่อการช่วยเพิ่มคุณภาพอากาศภายในบ้าน (Indoor Air Quality) ร่วมกับการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
MASTERKOOL (มาสเตอร์คูล) คือผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาอากาศร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศแบบครบวงจร ที่พร้อมนำเสนอโซลูชันเกี่ยวกับระบบบำบัดกลิ่น ระบบทำความเย็น และระบบระบายอากาศที่หลากหลาย อาทิ พัดลมอุตสาหกรรม พัดลมตั้งพื้น พัดลมโรงงาน พัดลมฟาร์ม พัดลมแขวนผนังที่มีประสิทธิภาพ ระบบบำบัดอากาศ เครื่องฟอกอากาศ พัดลมไอเย็น เครื่องทำน้ำเย็น ตู้กดน้ำเย็น รวมถึงดูแลและให้บริการระบบอีแวป (Evaporative Cooling System) ระบบทำความเย็นในโรงงานอีกด้วย เพื่อการช่วยตอบโจทย์กับทุกความต้องการในการใช้งานอย่างครอบคลุม
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าและบริการของ Masterkool ได้ที่
Tel : 02-953-8800, 092-260-5140
Email : info@masterkool.co.th