มาสเตอร์คูลผู้เชี่ยวชาญแก้ไขปัญหาอากาศร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศครบวงจร
029538800
12/16-17,20 ถ.เทศบาลสงเคราะห์
แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Master Kool มาสเตอร์คูลMaster Kool มาสเตอร์คูลMaster Kool มาสเตอร์คูล
คำนวณขนาดระบบอีแวป คู่มือออกแบบระบบระบายอากาศโรงงาน

การคำนวณขนาดระบบอีแวป สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

ในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย ปัญหาความร้อนสะสมในโรงงานอุตสาหกรรมไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความไม่สบายตัว แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการผลิต, ความปลอดภัย, สุขภาพของพนักงาน และอาจนำไปสู่ความเสียหายของเครื่องจักรและสินค้าได้ การลงทุนใน ระบบระบายอากาศโรงงาน ที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น ระบบอีแวป (Evaporative Cooling System) ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในโซลูชัน ระบบระบายความร้อนในโรงงาน ที่ได้รับความนิยมและคุ้มค่าที่สุด

อย่างไรก็ตาม การจะดึงศักยภาพสูงสุดของระบบอีแวปออกมาได้นั้น ขึ้นอยู่กับ “การออกแบบที่ถูกต้อง” ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการ คำนวณขนาดระบบอีแวป ที่แม่นยำ

บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติ ตั้งแต่หลักการทำงานพื้นฐาน, สูตรคำนวณอย่างละเอียด, การออกแบบการไหลเวียนอากาศ, ไปจนถึงการบำรุงรักษา เพื่อให้คุณสามารถวางแผน ติดตั้งระบบระบายอากาศโรงงาน ได้อย่างมืออาชีพและมั่นใจ

ทำความเข้าใจ “ระบบอีแวป” (Evap) ให้ลึกซึ้ง

ก่อนจะเริ่มคำนวณ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ระบบอีแวป คืออะไร และทำงานแตกต่างจากระบบทำความเย็นอื่นอย่างไร

หลักการทำงานที่ขับเคลื่อนด้วยธรรมชาติ

ระบบอีแวปทำงานโดยอาศัยหลักการทางฟิสิกส์ที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ “การระเหยของน้ำ (Evaporation)” เมื่ออากาศร้อนและแห้งไหลผ่านแผงทำความเย็น (Cooling Pad) ซึ่งมีลักษณะคล้ายรังผึ้งและมีน้ำไหลผ่านตลอดเวลา โมเลกุลของน้ำจะดึงพลังงานความร้อนจากอากาศเพื่อใช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอ (กระบวนการนี้เรียกว่า Heat of Vaporization) ผลลัพธ์คืออากาศที่ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องจะมีอุณหภูมิต่ำลง 5-10 องศาเซลเซียส ในขณะเดียวกันก็เป็นการเติมอากาศใหม่ที่สะอาดและสดชื่นเข้ามาในพื้นที่

ข้อดีที่สำคัญ: ระบบนี้เป็นระบบเปิด (Open System) ที่ต้องการการไหลเวียนของอากาศตลอดเวลา มันจึงทำหน้าที่เป็นทั้ง ระบบระบายความร้อน และ ระบบระบายอากาศ ไปพร้อมๆ กัน ช่วยผลักดันอากาศเก่า ฝุ่น ควัน และกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปนอกอาคาร

เปรียบเทียบระบบทำความเย็น: อีแวป vs. แอร์ vs. พัดลมระบายอากาศ

เปรียบเทียบระบบทำความเย็น: อีแวป vs. แอร์ vs. พัดลมระบายอากาศ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติที่สำคัญ
คุณสมบัติ ระบบอีแวป (Evaporative Cooler) เครื่องปรับอากาศ (Air Conditioner) พัดลมระบายอากาศ (Exhaust Fan)
หลักการทำงาน การระเหยของน้ำเพื่อลดอุณหภูมิ ใช้สารทำความเย็นดูดซับความร้อน ดูดอากาศร้อนออก, ดึงอากาศใหม่เข้า
การลดอุณหภูมิ ลดได้ 3-10°C ลดได้มาก, ควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ ลดได้เล็กน้อย, เน้นการระบาย
การใช้พลังงาน ต่ำมาก (ใช้แค่พัดลมและปั๊มน้ำ) สูงมาก (ใช้คอมเพรสเซอร์) ต่ำ
คุณภาพอากาศ ดีเยี่ยม (เติมอากาศใหม่ 100%) ปานกลาง (หมุนเวียนอากาศเดิม) ดี (แลกเปลี่ยนอากาศ)
ความชื้นสัมพัทธ์ เพิ่มความชื้นในอากาศ ลดความชื้นในอากาศ ไม่เปลี่ยนแปลง
พื้นที่ใช้งาน พื้นที่เปิด, กึ่งเปิด, โรงงาน, คลังสินค้า พื้นที่ปิดสนิท, สำนักงาน, ห้องคลีนรูม ทุกพื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศ
ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ปานกลาง สูง ต่ำ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่ำที่สุด สูงที่สุด ต่ำ

จากตารางจะเห็นว่า สำหรับ การออกแบบระบบระบายอากาศในโรงงาน ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่และกึ่งเปิด ระบบอีแวปมอบความสมดุลที่ยอดเยี่ยมที่สุดระหว่างประสิทธิภาพการทำความเย็นและการประหยัดพลังงาน

การคำนวณขนาดระบบอีแวป (The Core Calculation)

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด การคำนวณที่แม่นยำจะนำไปสู่ระบบที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เป้าหมายหลักของเราคือการหา “ปริมาณลมที่ต้องการ (Required Airflow)” ในหน่วย CMH (Cubic Meter per Hour – ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง)

การคำนวณขนาดระบบอีแวป (The Core Calculation)

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณปริมาตรของพื้นที่ (Volume Calculation)

สูตรพื้นฐาน: ปริมาตร (ลบ.ม.) = ความกว้าง (ม.) x ความยาว (ม.) x ความสูงเฉลี่ย (ม.)

ขั้นตอนที่ 2: เลือกอัตราการหมุนเวียนอากาศ (ACH – Air Change Rate)

ACH (Air Changes per Hour) คือตัวแปรที่บ่งบอกว่าอากาศทั้งหมดในพื้นที่นั้นๆ ควรจะถูกแทนที่ด้วยอากาศใหม่กี่รอบภายใน 1 ชั่วโมง ค่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งและขึ้นอยู่กับประเภทของกิจกรรมและปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่

ตารางแนะนำค่า ACH สำหรับการออกแบบระบบระบายอากาศในโรงงาน
ประเภทพื้นที่/กิจกรรม ภาระความร้อน (Heat Load) อัตราการหมุนเวียนอากาศ (ACH))
คลังสินค้า, พื้นที่จัดเก็บ น้อย 20 – 30 รอบ/ชั่วโมง
โรงงานประกอบชิ้นส่วน, ไลน์ผลิตทั่วไป ปานกลาง 30 – 40 รอบ/ชั่วโมง
โรงงานทอผ้า, โรงพิมพ์, โรงงานอาหาร ปานกลาง-สูง 40 – 50 รอบ/ชั่วโมง
อู่ซ่อมรถ, โรงซักรีดเชิงพาณิชย์ สูง 45 – 55 รอบ/ชั่วโมง
โรงหล่อ, โรงงานเคมี, พื้นที่เชื่อมโลหะ สูงมาก 50 – 60+ รอบ/ชั่วโมง
หมายเหตุ: ค่า ACH ข้างต้นเป็นค่าแนะนำทั่วไป อาจปรับเปลี่ยนได้ตามปัจจัยเฉพาะของแต่ละโรงงาน เช่น ความหนาแน่นของพนักงาน, ชนิดของเครื่องจักร, และการออกแบบอาคาร

ขั้นตอนที่ 3: คำนวณปริมาณลมที่ต้องการ (Required Airflow)

เมื่อได้ข้อมูลครบทั้งสองส่วนแล้ว ก็นำมาเข้าสูตรเพื่อหาปริมาณลมที่ต้องการ
สูตรคำนวณปริมาณลม: ปริมาณลมที่ต้องการ (CMH) = ปริมาตร (m³) x อัตราการหมุนเวียนอากาศ (ACH)

ปริมาณลมที่ต้องการ = 12,000 m³ x 35 ACH = 420,000 CMH

ขั้นตอนที่ 4: เลือกจำนวนและรุ่นของเครื่อง Evap

เมื่อทราบปริมาณลมรวมที่ต้องการแล้ว (420,000 CMH) ขั้นตอนสุดท้ายคือการเลือกรุ่นและจำนวนเครื่องให้เหมาะสม

  • ใช้เครื่องอีแวปมาสเตอร์คูลรุ่น MUK-30 (Airflow30,000 CMH): 420,000 350,000 = 8.4 ≈ 14 เครื่อง

หลักการออกแบบและติดตั้งระบบ

การมีปริมาณลมที่ถูกต้องเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความสำเร็จ การออกแบบการติดตั้งและการไหลเวียนของอากาศคืออีกครึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

หลักการสร้าง “แรงดันบวก” (Positive Pressure)

ะบบอีแวปทำงานได้ดีที่สุดเมื่อสร้างสภาวะ “แรงดันบวก” เล็กน้อยภายในอาคาร หมายความว่าปริมาณลมที่ “เติม” เข้ามาในอาคาร ต้องมากกว่าปริมาณลมที่ “ดูด” ออกไปเล็กน้อย แรงดันบวกนี้จะช่วย “ผลักดัน” อากาศร้อน ฝุ่น และมลพิษที่สะสมอยู่ใต้หลังคา ให้ออกไปทางช่องเปิดต่างๆ เช่น ประตู หน้าต่าง หรือ พัดลมดูดอากาศในโรงงาน

การวางตำแหน่งเครื่อง Evap และช่องระบายอากาศ (Placement Strategy)

  • ตำแหน่งติดตั้งเครื่อง Evap: ควรติดตั้งบนผนังหรือหลังคาในด้านที่รับลม
  • ตำแหน่งช่องระบายอากาศออก (Exhaust Opening): ควรอยู่ฝั่งตรงข้ามและอยู่สูง
  • ขนาดช่องระบายอากาศ: ควรมีขนาดอย่างน้อย 1.5 – 2 เท่าของพื้นที่หน้าตัดช่องลมออกของเครื่อง Evap

รูปแบบการไหลเวียนของอากาศ (Airflow Patterns)

  • Cross-Flow Ventilation: ติดตั้งเครื่องที่ผนังด้านหนึ่ง และมีช่องระบายอากาศออกที่ผนังฝั่งตรงข้าม
  • Down-Draft Ventilation: ติดตั้งเครื่องบนหลังคา เป่าลมเย็นลงมาด้านล่าง และมีช่องระบายอากาศอยู่ที่ผนังหรือหลังคา

การออกแบบท่อลม (Ducting Design): Free Blow vs. Spot air flow

Free blow (ทำความเย็นทั้งพื้นที่)

คือการปล่อยลมออกจากเครื่อง Evap โดยตรง เหมาะสำหรับพื้นที่เปิดโล่งที่ต้องการความเย็นสบายโดยรวม

Spot air flow (ทำความเย็นเฉพาะจุด)

คือการ ติดตั้งระบบระบายอากาศเฉพาะที่ โดยการต่อท่อลม (Duct) จากเครื่อง Evap เพื่อส่งลมเย็นไปยังจุดทำงานของพนักงานโดยตรง

การติดตั้ง, การใช้งาน และการบำรุงรักษา

เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างยาวนานและเต็มประสิทธิภาพ ต้องใส่ใจตั้งแต่การติดตั้งไปจนถึงการบำรุงรักษา

ข้อควรพิจารณาก่อนการติดตั้ง (Pre-Installation Checklist)

  1. โครงสร้าง: ตรวจสอบความแข็งแรงของผนังหรือหลังคา
  2. ระบบไฟฟ้า: เตรียมแหล่งจ่ายไฟและขนาดสายไฟให้เหมาะสม
  3. ระบบประปา: เตรียมแหล่งน้ำสะอาดและท่อน้ำทิ้ง

คู่มือการบำรุงรักษาระบบอีแวปเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

การละเลยการบำรุงรักษาคือสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบอีแวปไม่เย็นและมีกลิ่นอับ
ความถี่ รายการตรวจสอบและบำรุงรักษา
รายสัปดาห์ ตรวจสอบการทำงานของปั๊มน้ำและการกระจายน้ำบน Cooling Pad
รายเดือน ตรวจสอบและทำความสะอาดถาดน้ำ
ทุก 3-6 เดือน ทำความสะอาดแผง Cooling Pad, ตรวจสอบสายพาน
รายปี ตรวจสภาพโดยรวมของ Cooling Pad, ตรวจสอบมอเตอร์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบอีแวป (FAQ)

A: ไม่ ถ้าออกแบบถูกต้องและมีการระบายอากาศออกที่เพียงพอ ความชื้นจะถูกผลักดันออกไปพร้อมอากาศร้อน

A: ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ความชื้นสะสมและระบบหยุดทำความเย็น

A: ราคาของระบบอีแวป แตกต่างกันไปตามขนาดและสเปก แต่โดยรวมจะประหยัดกว่าระบบปรับอากาศ

A: โดยเฉลี่ย 2-5 ปี ขึ้นอยู่กับคุณภาพน้ำและการบำรุงรักษา

ก้าวแรกสู่โรงงานที่เย็นสบายและเปี่ยมประสิทธิภาพ

การ คำนวณขนาดระบบอีแวป ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหากเข้าใจหลักการและทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง มันเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดที่จะนำไปสู่ ระบบระบายอากาศในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านความเย็นสบาย, การประหยัดพลังงาน, และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพนักงาน

การลงทุนในระบบที่ออกแบบมาอย่างดีไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว แต่ยังเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร นั่นคือ “บุคลากร” ซึ่งจะส่งผลดีกลับมาในรูปของประสิทธิภาพและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น

หากคุณไม่แน่ใจ คำนวณขนาดระบบอีแวป หรือต้องการการประเมินที่แม่นยำสำหรับโรงงานของคุณโดยเฉพาะ การปรึกษาทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้าน การติดตั้งระบบระบายอากาศในโรงงาน คือทางเลือกที่ดีที่สุด